
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ดร.สุธี อนันต์สุขสมศรี หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยด้านการวิเคราะห์ภูมิภาค เมือง และสิ่งแวดล้อมสร้างสรรค์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้ได้อย่างเต็มที่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และส่งเสริมการเจริญเติบโตทางสังคมและเศรษฐกิจ
กิจกรรมเหล่านี้เป็นทั้งกิจกรรมที่ได้รับการวางแผนและไม่ได้รับการวางแผนที่ส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อระบบสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งผลกระทบเหล่านั้นยังส่งผลกระทบทางบวกและลบ ซึ่งอาจเป็นผลที่สามารถคาดได้และคาดไม่ได้ เช่น ความเหลื่อมล้ำและภาระหนี้สาธารณะ ในบางครั้งผลกระทบทางลบที่เกิดขึ้นอาจส่งผลเสียโดยไม่สามารถย้อนกลับคืนได้ เช่น การทำลายระบบนิเวศน์และความหลากหลายทางชีววิทยา ดังนั้นการวางแผนจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดโอกาสในการสร้างผลกระทบทางลบทั้งที่สามารถคาดได้และคาดไม่ได้ให้กับระบบสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
การวางแผนพัฒนาพื้นที่ที่ดีนั้น ควรดำเนินการภายใต้นโยบายและยุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพบนพื้นฐานของวิสัยทัศน์และข้อมูลที่เหมาะสมและเพียงพอ ในทางตรงกันข้ามการวางแผนพัฒนาที่ไม่มีประสิทธิภาพนั้น อาจจะเกิดจากผู้วางแผนขาดความรู้ หรือไม่มีข้อข้อมูลที่เพียงพอในการสนับสนุนการตัดสินใจ ตัวอย่างเช่น ในช่วงทศวรรษที่ 1980 รัฐบาลประเทศอิตาลีพบว่า ภูมิภาคตอนกลาง-ตอนเหนือ (Center-North) และภูมิภาคตอนใต้ (Mezzogiorno) มีความเหลื่อมล้ำสูง ภูมิภาคตอนกลาง-ตอนเหนือเป็นที่ตั้งของเมืองใหญ่ เช่น กรุงโรม มิลาน และเวนิส ที่มีสถานะทางเศรษฐกิจดีกว่าภูมิภาคทางใต้ที่เป็นที่ตั้งของเมือง เช่น เนเปิล และพาเลอโม
ดังนั้นรัฐบาลของประเทศอิตาลี จึงได้ลงทุนในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในภูมิภาคทางใต้ เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำของประเทศ แต่ผลจากการลงทุนในโครงการเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของทั้งสองภูมิภาคลดลง แต่ยังก่อเกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้นด้วย หลังจากเหตุการณ์นี้ นักวิชาการและผู้วางนโยบายได้ย้อนกลับมาศึกษาทบทวนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของภูมิภาคทั้งสองจากข้อมูลกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
และพบว่า ความล้มเหลวของการแก้ปัญหานี้เกิดจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในโครงการก่อสร้างนั้นก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับธุรกิจต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยผู้ผลิตวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างและเจ้าของบริษัทก่อสร้างที่มีที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคตอนกลาง-ตอนเหนือ มากกว่าผลประโยชน์ต่อแรงงานท้องถิ่นที่ทำงานในโครงการก่อสร้างหรือธุรกิจท้องถิ่นที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคตอนใต้
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ข้อมูลเชิงพื้นที่ทางด้านสังคมและเศรษฐกิจนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการวางแผนพัฒนาพื้นที่ทั้งในระดับภูมิภาคและเมือง โดยในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ และประเทศในสหภาพยุโรป มีการใช้ฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในหลายระดับ ทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับเมือง เป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยทำให้การวางยุทธศาสตร์ นโยบาย รวมถึงการวางแผนภูมิภาคและเมืองมีประสิทธิภาพสูง
สำหรับในประเทศไทยนั้น ระบบฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ทางด้านสังคมและเศรษฐกิจนั้น ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา อาจทำให้ขาดข้อมูลในหลาย ๆ ประเด็นที่จำเป็นสำหรับการประกอบการตัดสินใจในการวางยุทธศาสตร์ นโยบาย และแผนการพัฒนา การสร้างฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะข้อมูลระดับภูมิภาคและระดับเมืองนั้น ใช้ทรัพยากรการเงิน เวลา และบุคลากรจำนวนมาก แต่ทว่าในปัจจุบัน โดยเฉพาะในภาคธุรกิจได้มีความตื่นตัวในการใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big data เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ ปฏิบัติการ และการแข่งขัน
ดังจะเห็นได้จากการประยุกต์ใช้ข้อมูล Big Data เช่น ข้อมูลการใช้บริการ ข้อมูลจากดาวเทียม ข้อมูลจากโครงข่ายทางสังคม (เช่น Facebook Twitter และ Instagram) ข้อมูลการจราจร ข้อมูลภาพถ่าย (เช่น กล้องวิดิโอวงจรปิด และ Google Street View) และการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things; IoT) โดยฐานข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นมาจากกิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจของภาคประชาชน ซึ่งเป็นข้อมูลที่แตกต่างจากการเก็บข้อมูลของรัฐในรูปแบบเดิม เช่น ฐานข้อมูลทะเบียนราษฏร์ ข้อมูลจากการสำรวจและสำมะโน ข้อมูล Big Data ดังกล่าวมีศักยภาพสูงในการนำไปใช้ทดแทนฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในระดับภูมิภาคและเมืองได้
เช่นเดียวกับภาคธุรกิจ ความท้าทายในการประยุกต์ใช้ข้อมูลเพื่อการวางแผนภาคและเมืองนั้นมีอยู่สูง และการเปลี่ยนความรู้เป็นการกระทำ (Turn Knowledge in to the Action) นั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล Big Data ในศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนภาคและเมือง เช่น วิทยาศาสตร์เชิงภูมิภาค (Regional Science) สถาปัตยกรรม วิศวกรรม ภูมิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ โดยมีวิธีการที่รู้จักอย่างแพร่หลาย เช่น การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent) การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และแบบจำลองระบบซับซ้อน (Complex Systems)
ในยุคของเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based Economy) ข้อมูลและความรู้เป็นทรัพยากรสำคัญในการพัฒนาประเทศ การพัฒนาประเทศไทยสู่ Thailand 4.0 นั้น หน่วยงานภาครัฐต้องมีข้อมูลที่เหมาะสมและเพียงพอในการวางแผนและการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพื้นที่นั้น การมีระบบฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ด้านสังคมและเศรษฐกิจมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ดังนั้นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคประชาชนกับภาคเอกชนและภาคการศึกษาที่มีความพร้อม ความรู้ และความสามารถในการเข้าถึงข้อมูล รวมถึงการวิเคราะห์และการประยุกต์ใช้ข้อมูลนั้นจะเป็นตัวแปรสำคัญในความสำเร็จของการวางนโยบายและแผนบนพื้นฐานของข้อมูลเชิงประจักษ์และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเมือง ภูมิภาค และประเทศอย่างยั่งยืน.
"ข้อมูล" - Google News
June 30, 2020 at 09:12AM
https://ift.tt/2BMWCVQ
นักวิชาการแนะรัฐให้ความสำคัญ ข้อมูลเชิงพื้นที่ด้านสังคมและศก. - เดลีนีวส์
"ข้อมูล" - Google News
https://ift.tt/2XOQ0gR
No comments:
Post a Comment